pcd.go.th
ขนาดอักษร |
สรุปสถานการณ์สารอินทรีย์ระเหยง่ายในบรรยากาศ (VOCs) ปี 2558

ปัจจุบัน กรมควบคุมมลพิษ มีการตรวจวัดสารอินทรีย์ระเหยง่ายในบรรยากาศ (Volatile Organic Compounds:VOCs)ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดปทุมธานี จังหวัดระยอง จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดสงขลา จังหวัดราชบุรี และจังหวัดขอนแก่น เพื่อติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์สารอินทรีย์ระเหยง่ายในบรรยากาศจำนวน 9 ชนิด ตามที่ได้กำหนดไว้เป็นมาตรฐานค่าสารอินทรีย์ระเหยง่ายในบรรยากาศโดยทั่วไปในเวลา1 ปี (ตามประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ ๓๐ (พ.ศ.๒๕๕๐) ลงวันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๔ ตอนพิเศษ ๑๔๓ ง วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๐สถานการณ์ในภาพรวมของประเทศไทยสำหรับปี 2558 พบสาร1,3-บิวทาไดอีน 1,2-ไดคลอโรอีเธน และ เบนซีนคลอโรฟอร์มมีค่าสูงเกินเกณฑ์มาตรฐานในหลายพื้นที่ โดยพบว่าในกรุงเทพหานคร นอกจากสารเบนซีนมีค่าสูงเกินมาตรฐานในพื้นที่ริมถนนทุกจุดแล้ว ยังตรวจพบสารคลอโรฟอร์มมีค่าสูงเกินเกณฑ์มาตรฐานบริเวณริมถนนพระราม 4 เขตปทุมวันและบริเวณริมถนนลาดพร้าว เขตวังทองหลางด้วย สำหรับผลการติดตามตรวจวัดสถานการณ์สารอินทรีย์ระเหยง่ายในจังหวัดอื่นๆ พบสารเบนซีนมีค่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานในพื้นที่ทั่วไปบริเวณจุดตรวจวัดในจังหวัดปทุมธานี และราชบุรีสำหรับพื้นที่จังหวัดระยองนอกจากสารเบนซีนมีค่าเกินเกณฑ์มาตรฐานในบางพื้นที่ ยังตรวจพบ 1,2-ไดคลอโรอีเธน 1,3-บิวทาไดอีน และสารคลอโรฟอร์มมีค่าสูงเกินมาตรฐานในบางจุดตรวจวัดอีกด้วยสารเบนซีนในบรรยากาศเป็นปัญหาหลักทั่วประเทศ ซึ่งมีแหล่งกำเนิดหลากหลาย ดังนั้นการวิเคราะห์หาสาเหตุต้องจำแนกตามลักษณะการใช้ประโยชน์ที่ดินของบริเวณพื้นที่จุดตรวจวัด โดยแบ่งเป็น พื้นที่ทั่วไปหรือบริเวณที่อยู่อาศัยในเมืองหลัก พื้นที่ริมถนนซึ่งมีการจราจรหนาแน่น และพื้นที่ชุมชนรอบอุตสาหกรรม ซึ่งในภาพรวมพบว่าแนวโน้มปริมาณสารเบนซีนในบรรยากาศเฉลี่ยรายปีจากบริเวณพื้นที่ชุมชนรอบนิคมอุตสาหกรรมมีค่าสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่อื่นๆอย่างไรก็ตาม ปริมาณสารเบนซีนในบรรยากาศมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา พบว่าปริมาณเบนซีนในบรรยากาศบริเวณพื้นที่ริมถนนซึ่งมีการจราจรหนาแน่นเขตกรุงเทพฯ มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการกำหนดมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นในการควบคุมการระบายสารอินทรีย์ระเหยง่ายจากภาคคมนาคมขนส่ง รวมทั้ง การพัฒนาเทคโนโลยีสะอาดสำหรับยานพาหนะ การปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง ดังแสดงในภาพที่ 1อย่างไรก็ตาม ข้อมูลผลการตรวจปริมาณสารเบนซีนในบรรยากาศ ยังแสดงให้เห็นว่า นอกจากการจัดทำมาตรการเพื่อควบคุมการระบายสารเบนซีนจากอุตสาหกรรมแล้ว ยังมีความจำเป็นที่ต้องดำเนินมาตรการเพื่อควบคุมการระบายมลพิษอากาศจากภาคคมนาคมขนส่งและการจราจรโดยเฉพาะในเขตพื้นที่ริมถนนบริเวณเมืองหลักอื่นๆ เช่น ขอนแก่น และเชียงใหม่ อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา พบว่าสาร 1,2 ไดคลอโรอีเธน และ 1,3 บิวทาไดอีนในบรรยากาศมีค่าสูงเกินเกณฑ์มาตรฐานเฉพาะในพื้นที่จังหวัดระยอง และมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังแสดงในภาพที่ 2และ ภาพที่ 3ทั้งนี้ สาร 1,2 ไดคลออีเธน มีแหล่งกำเนิดหลักจากภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น ดังนั้น จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนต้องเร่งจัดทำมาตรการควบคุมการระบายสาร 1,2 ไดคลออีเธนจากภาคอุตสาหกรรมอย่างเข้มงวด ต่อไปการดำเนินงานใน ปี 2559 กรมควบคุมมลพิษ จะได้ขยายเครือข่ายการเฝ้าระวังสถานการณ์สารอินทรีย์ระเหยง่ายให้ครอบคลุมกิจกรรมต่างๆ ในประเทศเพิ่มขึ้น เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเสนอแนะนโยบายและกำหนดมาตรการกำกับดูแลที่เหมาะสม และเพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนต่อไป

ภาพที่ 1 เปรียบเทียบค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมงเฉลี่ยรายปีของเบนซีนตามประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดิน ปี 2558 (หน่วย:ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร)

 

ภาพที่ 2 เปรียบเทียบค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมงเฉลี่ยรายปีของ 1,3 บิวทาไดอีน ปี 2558 (หน่วย:ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร)

 

ภาพที่ 3 เปรียบเทียบค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมงเฉลี่ยรายปีของ 1,2 ไดคลอโรอีเธน ปี 2558 (หน่วย:ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร)


วันที่ : 22 ธันวาคม 2563
เข้าชม : ครั้ง
ข้อมูลโดย : ส่วนพัฒนาและบริหารระบบสารสนเทศ , ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร


Skip to content