วันที่ 2 ธันวาคม 2568 พลตำรวจโท อิทธิพร โพธิ์ทอง ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายสุชาติ ชมกลิ่น ) ลงพื้นที่ตรวจการปฏิบัติงานตรวจสอบตรวจจับและห้ามใช้รถควันดำ ซึ่งเป็นการบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ได้แก่ กรมควบคุมมลพิษ กรุงเทพมหานคร กรมการขนส่งทางบก และกองบังคับการตำรวจจราจร ณ ท่าเรือกรุงเทพ เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร
พลตำรวจโท อิทธิพร เปิดเผยว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบหมายตนลงพื้นที่ตรวจการปฏิบัติงานตรวจสอบตรวจจับและห้ามใช้รถควันดำ จากสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน – มีนาคม ของทุกปี สาเหตุเกิดจากสภาพอุตุนิยมวิทยา อัตราการระบายอากาศต่ำ ประกอบกับมีแหล่งกำเนิดสำคัญรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลที่มี 3 ล้านกว่าคัน ซึ่งแหล่งกำเนิดฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพมหานครมีถึง 57% และที่สำคัญกรุงเทพมหานครถูกประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษเพื่อควบคุม ลดและขจัดฝุ่นละออง จึงต้องมีมาตรการควบคุมอย่างเข้มข้น รัฐบาลให้ความสำคัญกับสุขภาพอนามัยของประชาชนและคุณภาพสิ่งแวดล้อม ในการป้องกันควบคุมมลพิษฝุ่นละออง PM2.5 ในเขตเมือง ได้มีการปรับลดค่ามาตรฐานควันดำจาก 30 % เหลือไม่เกิน 20% มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นมา และเพิ่มความเข้มข้นการตรวจสอบรถควันดำที่ต้นทางทั้งอู่รถโดยสาร รถแพลนท์ปูน ไซต์งานก่อสร้าง และเข้มงวดตรวจสอบรถที่ปล่อยควันดำบริเวณริมเส้นทางจราจร บังคับใช้กฎหมายในการสั่งห้ามใช้รถที่ปล่อยควันดำเกินค่ามาตรฐาน โดยทำงานร่วมกันทั้งกรมควบคุมมลพิษ กรุงเทพมหานคร กรมการขนส่งทางบก และกองบังคับการตำรวจจราจร และใช้มาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมรถที่มีควันดำทุกประเภท
พลตำรวจโท อิทธิพร กล่าวว่า เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการปล่อยฝุ่น PM2.5 จากภาคการขนส่ง ในกรุงเทพมหานคร ช่วง 90 วัน อันตราย ตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2568 – 28 กุมภาพันธ์ 2569 ทุกหน่วยงานได้กำหนดแผนการตรวจสอบตรวจจับและห้ามใช้รถควันดำริมเส้นทางจราจรในพื้นที่กรุงเทพมหานครตามจุดต่างๆ วันละ 14 ชุด และกรมการขนส่งทางบกจัดชุดผู้ตรวจการตรวจสอบรถควันดำในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลวันละ 16 ชุด ส่วนในพื้นที่ต่างจังหวัดดำเนินการเข้มข้นในเมืองหลัก โดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1-16 กรมควบคุมมลพิษ บูรณาการร่วมกับสำนักงานขนส่งจังหวัด สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด ตำรวจภูธรจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หากตรวจพบรถปล่อยควันดำเกินค่ามาตรฐานเจ้าพนักงานจราจรจะสั่งระงับการใช้รถเป็นชั่วคราวและให้ไปปรับปรุงแก้ไขภายใน 15 วัน จากเดิมที่ให้เวลาปรับปรุงแก้ไข 30 วัน เป็นการลดระยะเวลาให้ใช้รถในระหว่างที่ตรวจพบว่ามีควันดำเกินมาตรฐานซึ่งจะต้องไปปรับปรุงแก้ไขภายในเวลาที่กำหนด หากฝ่าฝืนคำสั่งจะมีโทษฐานฝ่าฝืนคำสั่งนายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์และกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกด้วยเช่นกัน และอาจถูกสั่งระงับใช้รถเด็ดขาด
พลตำรวจโท อิทธิพร กล่าวเน้นย้ำ ขอความร่วมมือเจ้าของรถยนต์ หากบำรุงดูแลรักษาเครื่องยนต์หมั่นตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์ การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรอง ตรวจสอบและทำความสะอาดหัวฉีด ตรวจสอบระบบจ่ายน้ำมัน จะสามารถลดควันดำได้มากกว่า 70% แม้จะเป็นรถยนต์ที่มีอายุใช้งานนานกว่า 10-15 ปี ก็ตาม สำหรับประชาชนที่พบเห็นรถควันดำ หากเป็นรถบรรทุก รถโดยสาร สามารถแจ้งสายด่วนกรมการขนส่งทางบก โทร 1584 , รถ ขสมก โทร 1348 หรือสามารถแจ้งผ่าน Traffy Fondue กรุงเทพมหานคร รับเป็นเจ้าภาพไปแจ้งและติดตามหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นายสุรินทร์ วรกิจธำรง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 30 พฤศจิกายน 2568 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบและห้ามใช้รถยนต์ควันดำ รวมทั้งสิ้น 85,731 คัน ในพื้นที่กรุงเทพมหานครตรวจสอบรถยนต์ควันดำแล้วทั้งสิ้น 62,763 คัน ประกอบด้วย รถบรรทุกขนาดใหญ่ เช่น รถบรรทุก รถโดยสาร ตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 จำนวน 29,117 คัน และรถตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 เช่น รถยนต์ส่วนบุคคล รถกระบะ จำนวน 33,646 คัน ซึ่งมีรถยนต์ที่มีควันดำเกินค่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนด จำนวน 656 คัน ปรับปรุงแก้ไขและตรวจสอบผ่านแล้ว จำนวน 291 คัน คิดเป็นร้อยละ 44 สำหรับรถที่ยังไม่แก้ไขหรือนำมายกเลิกคำสั่งฯ ภายในระยะเวลาตามกฎหมายกำหนด จะมีกระบวนติดตามหากพบข้อเท็จจริงว่าไม่มีการปฏิบัติตามคำสั่งจะถูกดำเนินการปรับเป็นพินัยฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งห้ามใช้ยานพาหนะของพนักงานเจ้าหน้าที่ ค่าปรับไม่เกินห้าพันบาท ตามมาตรา 102 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535
จากมาตรการตรวจสอบควบคุมเชิงรุกที่ต้นทางตามที่กล่าวแล้ว และเพื่อลดภาระของประชาชนเจ้าของรถในการบำรุงดูแลรักษาเครื่องยนต์มิให้ปล่อยควันดำเกินมาตรฐาน กรมควบคุมมลพิษยังผนึกกำลังร่วมกับกรุงเทพมหานคร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและภาคเอกชน ด้วยการเชิญชวนประชาชนให้นำรถยนต์ขนาดเล็กเข้ารับบริการตรวจเช็กสภาพเครื่องยนต์ และเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องกับค่ายรถยนต์ตามโครงการ Green List Plus “โปรสู้ฝุ่น ลด PM2.5” ให้การสนับสนุนจัดโปรโมชันต่อที่ 1 ให้ส่วนลดราคาค่าใช้จ่ายในการตรวจสภาพเครื่องยนต์ฟรีกว่า 55 รายการ และให้ส่วนลดราคาค่าน้ำมันเครื่อง ค่าอะไหล่และค่าแรงสูงสุดถึง 50% และลงทะเบียนบัญชีสีเขียวหรือ Green List Plus กับกรุงเทพมหานครจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมต่อที่ 2 จากเครือข่ายเอกชนที่เข้าร่วมโครงการในการให้สิทธิการจอดรถยนต์ฟรีเพิ่มเติมในห้าง เซ็นทรัล The mall และโลตัส ได้รับบัตรกำนัลค่าโดยสารรถไฟฟ้า BTS และส่วนลดราคาสำหรับการซื้อ พรบ.รถยนต์หรือประกันภัยรถยนต์ผ่าน AIS จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนนำรถยนต์เข้ามารับการบริการ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการลดปัญหาการเกิดฝุ่น PM2.5 นายสุรินทร์ กล่าว